วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 6


บันทึกการเรียน ครั้งที่ 6
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561
เวลา 11.30 – 14.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ

            อาจารย์มอบหมายให้ทำ Mind Mapping การบูรณาการทักษะวิชา และ Mind Mapping 6กิจกรรมหลัก ของหน่วยตนเอง




การประยุกต์ใช้(Apply)

            สามารถนำไปใช้เขียนผังความคิดเพื่อแตกความคิดในหน่วยที่จะสอนได้อย่างถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การเขียนแผนที่ถูกต้องและเหมาะสม

การประเมิน(Assesment)
ตนเอง – ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ
เพื่อน – มีตวามรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย
อาจารย์ – มีคำแนะนำและคำอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่นักศึกษายังไม่รู้ หรือทำไม่ถูกต้อง

วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 5


บันทึกการเรียน ครั้งที่ 5
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
เวลา 11.30 – 14.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ
            แต่ละกลุ่มทำ Mindmapping การบูรณาการทักษะวิชา และMindmapping 6กิจกรรมหลัก ของหน่วยตนเอง จากนั้นให้ออกมานำเสนอ และอาจารย์ได้เสนอแนะเพิ่มเติมให้แต่ละกลุ่มกลับไปปรับปรุงแก้ไข

การบูรณาการทักษะวิชา 6 วิชา มีดังนี้
1.คณิตศาสตร์
2.วิทยาศาสตร์
3.สังคมศึกษา

4.พลศึกษา/สุขศึกษา
5.ศิลปะสร้างสรรค์
6.ภาษา

หน่วยผีเสื้อแสนสวย



กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม มีดังนี้
1.กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
2.กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
3.กิจกรรมเสรี
4.กิจกรรมเสริมประสบการณ์
5.กิจกรรมกลางแจ้ง
6.กิจกรรมเกมการศึกษา





การประยุกต์ใช้(Apply)
     สามารถนำไปใช้เขียนผังความคิดเพื่อแตกความคิดในหน่วยที่จะสอนได้ในอนาคต

การประเมิน(Assesment)
ตนเอง – ตั้งใจเรียน มีส่วนร่วมในกลุ่มของตนเองและในห้องเรียน
เพื่อน – ในกลุ่มมีการแบ่งงาน และช่วยแหลือกันทำงาน
อาจารย์ – ชม ในส่วนที่ดีของแผนผังความคิด และแนะนำเพิ่มเติม

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 4

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 4
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561
เวลา 11.30 - 14.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ
      นำเสนองานกลุ่ม ตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้

1.มอนเตสเซอรี่

การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน และกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อม โดยครูคำนึงถึงความสนใจ ความต้องการในการเรียนรู้ของเด็ก ยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลและคำนึงถึงเด็กเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยหลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้านคือ
1.ด้านทักษะกลไก (Motor Education)
2.ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses)
3.ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic) 

2.ภาษาธรรมชาติ

ภาษาธรรมชาติ คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน หรือเขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง

3.การทำสารนิทัศน์

            สารนิทัศน์หมายถึง  ส่วนสำคัญที่นำมาเป็นตัวอย่าง อาจเป็นผลงานของเด็ก  ภาพถ่าย  กิจกรรมของเด็ก บทสนทนาของเด็ก ที่แสดงให้ผู้อื่นเห็น หรือแสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต  พัฒนาการ  และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย จากการทำกิจกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล หรือเป็นรายกลุ่ม
สารนิทัศน์ประเภทที่ 1 การบรรยายเรื่องราวหรือประสบการณ์
สารนิทัศน์ประเภทที่ 2 การสังเกตพัฒนาการเด็ก
สารนิทัศน์ประเภทที่ 3 แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
สารนิทัศน์ประเภทที่ 4 ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม
สารนิทัศน์ประเภทที่ 5 การสะท้อนตนเอง

4.การทำแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)


            เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ช่วยให้เห็นความก้าวหน้าทางพัฒนาการด้านต่างๆและความสำเร็จของเด็ก การจัดเก็บรวบรวมข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้มีโอกาสสะท้อนความคิด ความพยายาม และแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างสมบูรณ์
             จุดประสงค์แฟ้มสะสมผลงาน
1.เห็นคุณภาพของงานและการคิดของเด็ก
2.แสดงความก้าวหน้าของเด็กในเวลาที่ล่วงไป
3.ประเมินงานของเด็กแต่ละคน
4.สะท้อนประสบการณ์ที่เด็กได้รับ
5.ให้โอกาสสะท้อนสิ่งที่คาดหวังในงานของเด็ก
6.ให้ข้อมูลที่สำคัญที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าของเด็ก และกิจกรรมที่ทำแก่เด็กคุณครู ครอบครัว ผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องในการตัดสินใจ


5.การสอนแบบวอล์ดอฟ

            ครูอนุบาลต้องให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับอายุและความสามารถตามวัยของเด็ก ให้เกิดความสม ดุลกัน เกณฑ์อายุของระดับอนุบาลวอลดอร์ฟ คือ ก่อน 7 ขวบ หรือก่อนฟันแท้จะขึ้น มนุษยปรัชญายังได้เผยภาพลักษณ์ของมนุษย์อันประกอบไปด้วย กาย 4 กาย ได้แก่ ร่างกาย กายพลังชีวิต กายความรู้สึก กายตัวตน ถึงแม้ว่ากายทั้ง 4 จะมาพร้อมกันเมื่อคนเราเกิดมาในโลก แต่ก็ค่อยๆเผยออกมาทีละกายทุกๆรอบ 7 ปี จนเด็กอายุ 21 ปี จึงมีกายทั้ง 4 ครบสมบูรณ์ หากในระหว่างนั้น มีการสนับสนุนทางการศึกษาอย่างถูกต้องเหมาะสมแก่เด็ก จะยิ่งเป็นประ โยชน์ต่อการพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ 
            การศึกษาวอลดอร์ฟมีจุดเน้นที่ “ครู” คือมีการจัดทำคอร์สฝึกหัดครูในแนวทางวอลดอร์ฟ (Waldorf Early Childhood teacher training) อยู่อย่างต่อเนื่อง ครูและผู้ปกครองที่สนใจสามารถลงคอร์สเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลเด็กทุกฝ่าย มีโอกาสพัฒนาตนให้มีความรู้ความสามารถตามแนวทางของมนุษยปรัชญา เข้าใจธรรมชาติมนุษย์และธรรมชาติวัยเด็ก ทักษะศิลปะของครูผู้สอน

6.การเรียนการสอนแบบไฮสโคป

            ไฮสโคป เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ
วงล้อการเรียนรู้แบบไฮสโคป

การประยุกต์ใช้(Apply)

            ในอนาคตเมื่อเป็นครู สามารถเลือกใช้วิธีการสอนได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับเด็กและสภาพแวดล้อมนั้นๆ

การประเมิน(Assessment)
ตนเอง – มาเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟัง เตรียมตัวมสนำเสนองาน
เพื่อน – ตั้งใจฟังกลุ่มอื่นนำเสนอ เตรียมข้อมูลของหัวข้อตัวเองมาได้ดี
อาจารย์ – มีการให้ข้อมูลความรู้เพิ่มเติมในเรื่องการเรียนการสอนรู้แบบต่างๆ

วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 3

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 3
วันที่ 29 มกราคม 2561
เวลา 11.30 - 14.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ
     - ทบทวนความรู้ที่ได้รับจากการที่เพื่อนนำเสนอเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
     - แบ่งกลุ่ม 4-5 คน ทำ Mind Mapping หน่วยการเรียนรู้

หน่วย ผีเสื้อแสนสวย



หน่วย ยานพาหนะ



หน่วย แหล่งน้ำ



หน่วย ของเล่นของใช้



หน่วย ฝนจ๋า



หน่วย ตัวเรา


การประยุกต์ใช้ (Apply)
     รู้วิธีการเชียนผังความคิดที่ถูกต้องและเป็นระเบียบ สามารถวางแผนเนื้อหาของหน่วยการเรียนรู้เพื่อที่จะนำไปเขียนแผนการสอนได้

ประเมิน (Assessment)
     - ตนเอง ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย มาเรียนตรงเวลา
     - เพื่อน ตั้งใจทำงาน
     - ครู สอนตรงเวลา ให้ความรู็เพิ่มเติม ทำให้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 2

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 2
วันที่ 22 มกราคม 2561
เวลา 11.30 - 14.30 น.

ความรู้ที่ได้รับ
          นำเสนองานที่ได้รับมอบหมาย



กลุ่มที่ 1 เรื่องพัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย


มาตรฐานที่พึงประสงค์ 12 มาตรฐาน
มาตรฐานที 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วประสานสัมพันธ์กัน
มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มาตรฐานที่ 7 รักธมมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรมและความเป็นไทย
มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารเหมาะสมกับวัย
มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย



กลุ่มที่ 2 เรื่องความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย


กิจกรรมการเล่นเสรี 
     มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความสนใจในการอ่านและการเขียน เพราะเด็กมีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะเลือกทำกิจกรรมในมุมใด ในแต่ละมุมจะมีวัสดุอุปกรณ์ที่ส่งเสริมภาษา เช่น
มุมบ้าน - ครูอาจเขียนตัวหนังสือบนสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน
มุมบล็อก - หาสิ่งของที่มีตัวหนังสือมาประกอบการเล่นบล็อกและสร้างเรื่องราว
มุมวิทยาศาสตร์ - ครูอาจเขียนบัตรคำบอกชื่อสิ่งต่างๆไว้
มุมห้องสมุด - จัดให้มีบรรยากาศสบายๆ มีมุมเขียนอยู่ใกล้ๆ
มุมคณิตศาสตร์ - จัดให้มีตัวเลข ตัวหนังสือที่ของเล่น เป็นต้น

ความต้องการของเด็กปฐมวัย ทั้ง 4 ด้าน
1.ด้านร่างกาย
-การกระโดดโลดเต้น เคลื่อนไหวร่างกาย 
-การพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ ประมาณ 10  12 ชั่ว โมง
-การช่วยเหลือตนเอง เช่น การรับประทานอาหาร การใส่รองเท้า 

2.ด้านอารมณ์
-ต้องการความรักและความใกล้ชิดผูกพัน ธ์
-ต้องการที่จะระบายอารมณ์อย่างอิสระและเปิดเผย

3.ด้านสังคม
-ต้องการเล่น การแสดงออกในสิ่งต่างๆให้เป็นที่ยอมรับ
-การเล่นแบบคู่ขนาน
-การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครู

4.ด้านสติปัญญา
-ต้องการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการคิดแก้ปัญหา หรือสร้างจินตนาการ และการเล่นสมมติต่าง ๆ เพื่อสนองความต้องการตามธรรมชาติ 

กลุ่มที่ 3 เรื่อง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย


ทฤษฎีของเพียเจต์ แบ่งออกเป็น 4 ขั้น
1.ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ
2.ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ 
     1.ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
     2.ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน
3.ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่างๆ โดยที่เด็กเข้าใจว่าของแข็งหรือของเหลวจำนวนหนึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปร่างไปก็ยังมีน้ำหนัก หรือปริมาตรเท่าเดิม สามารถที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ส่วนรวม ลักษณะเด่นของเด็กวัยนี้คือ ความสามารถในการคิดย้อนกลับ
4.ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถที่จะคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎี และเห็นว่าความเป็นจริงที่เห็นด้วยการรับรู้ที่สำคัญเท่ากับความคิดกับสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ 

ทฤษฎีของบรูเนอร์ แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาได้เป็น 3 ขั้นใหญ่ ๆ คือ
1.ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ
2.ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้
3.ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้

ทฤษฎีวีกอสกี แบ่งระดับเชาว์ปัญญา เป็น 2 ขั้น
        1.  เชาว์ปัญญาขั้นเบื้องต้น คือเชาว์ปัญญามูลฐานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้
        2.  เชาว์ปัญญาขั้นสูง คือเชาว์ปัญญาที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ให้การอบรม เลี้ยงดู ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้โดยใช้ภาษา วีก็อตสกี้ ได้แบ่งพัฒนาการทางภาษาเป็น 3 ขั้น  คือ
            2.1 ภาษาที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียกว่า ภาษาสังคม (social speech) เป็นภาษาที่เด็กใช้ ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น  ในช่วงอายุ  0 - 3 ปี เพื่อสื่อสารความคิดความรู้สึกต่างๆที่ตนนั้นกำลังนึกคิด และต้องการที่จะแสดง ความต้องการอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองกับผู้อื่น
            2.2 ภาษาที่พูดกับตนเอง 3 – 7 ขวบ (egocentric  speech)  เป็นภาษาที่เด็กใช้พูดกับตนเองในช่วงอายุ  3 -7 ปี  โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น  เพื่อช่วยในการคิด  ตัดสินใจแสดงพฤติกรรม
            2.3 ภาษาที่พูดในใจเฉพาะตน 7 ขวบขึ้นไป (inner  speech) วีก๊อทสกี้อธิบายว่า มนุษย์ต้องใช้ภาษาในการคิด  เด็กจะต้องพัฒนาภาษาในใจ  ซึ่งเป็นการช่วยให้พัฒนาการทางสติปัญญาพัฒนาสูงขึ้นตามระดับอายุ  การพัฒนาภาษาภายในตนเองเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 7 ปี เมื่อเด็กพบปัญหาที่ยุ่งยากมากขึ้น  เขาเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาไปตามขั้นตอนโดยใช้ภาษาภายในตนเอง  ในขณะที่เด็กเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองนั้น  เขาอาจพบบางปัญหาที่เขาคิดเองไม่ออก แต่หากได้รับคำแนะนำช่วยเหลือบางส่วนจากผู้ใหญ่  หรือได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเพื่อนเขาจะสามารถแก้ปัญหานั้นได้สำเร็จวีก๊อตสกี้เรียกระดับความสามารถนี้ว่าจุดที่เด็กสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จหากได้รับความช่วยเหลือสนับสนุน

กลุ่มที่ 4 การสอนแบบโครงการ (Project Approach)


     การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็ก ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้

การนำไปประยุกต์ใช้ (Apply)
     ทำให้สามารถออกแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กได้ อีกทั้งยังรู้จักการเรียนการสอนรูปแบบต่างๆที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก

ประเมิน (Assessment)
     - ตนเอง มาเรียนตรงเวลา จดเพิ่มเติม
     - เพื่อน ตั้งใจเรียน มีการตอบคำถาม เตรียมงานมานำเสนอดี
    - ครู มาสอนตรงเวลา มีการอธิบายเพิ่มเติม ทำให้เข้าใจเนื้อหามากยิ่งขึ้น